อุปกรณ์ป้องกัน ไฟไหม้ ที่ควรมีติดสถานประกอบการ
สถานประกอบการหรือโรงงานเป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด ไฟไหม้ สูง เนื่องจากมีเครื่องจักร วัตถุดิบ และสารเคมีต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก อินชัวร์ฮับมาแนะนำการเตรียมความพร้อมรับมือกับไฟไหม้จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยวิธีเตรียมความพร้อมที่ดีที่สุดคือการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้ไว้ภายในโรงงาน
อุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีจุดประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน อุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้ที่ควรมีติดโรงงานไว้ ดังนี้
- ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire alarm system) เป็นระบบที่ทำหน้าที่ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนภัยเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ประกอบด้วยอุปกรณ์ตรวจจับควันไฟ (Smoke detector) และอุปกรณ์แจ้งเตือนภัย (Alarm bell, Strobe light)
- ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ (Automatic fire extinguishing system) เป็นระบบที่ทำหน้าที่ดับเพลิงโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ประกอบด้วยอุปกรณ์ดับเพลิงต่างๆ เช่น ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (Sprinkler system) ระบบดับเพลิงด้วยสารเคมี (Chemical fire extinguishing system) เป็นต้น
- ถังดับเพลิง (Fire extinguisher) เป็นอุปกรณ์ดับเพลิงขนาดเล็กที่สามารถพกพาได้ เหมาะสำหรับใช้ดับเพลิงเบื้องต้น เช่น ไฟไหม้จากเครื่องใช้ไฟฟ้า ไฟไหม้จากกระดาษ ผ้า เป็นต้น
- อุปกรณ์ดับเพลิงอื่นๆ เช่น ถังน้ำดับเพลิง (Water extinguisher) ถังผงเคมีดับเพลิง (Powder extinguisher) ถังแก๊สดับเพลิง (CO2 extinguisher) เป็นต้น
นอกจากอุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้แล้ว ผู้ประกอบการโรงงานควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์เหล่านี้อยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน โดยควรตรวจสอบระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้อย่างน้อยปีละครั้ง และตรวจสอบถังดับเพลิงอย่างน้อยทุก 6 เดือน
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการโรงงานควรฝึกซ้อมแผนหนีไฟเป็นประจำ เพื่อให้พนักงานสามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ การเตรียมความพร้อมรับมือกับไฟไหม้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของโรงงานได้ หากคุณยังไม่มีอุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้ ควรรีบติดตั้งให้เรียบร้อย เพื่อความปลอดภัยของพนักงานและทรัพย์สินของโรงงาน
อุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามจุดประสงค์และการใช้งาน ดังนี้
- อุปกรณ์ตรวจจับและแจ้งเตือนเพลิงไหม้ (Fire detection and alarm system) ทำหน้าที่ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนภัยเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ประกอบด้วยอุปกรณ์ตรวจจับควันไฟ (Smoke detector) และอุปกรณ์แจ้งเตือนภัย (Alarm bell, Strobe light)
- อุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ (Automatic fire extinguishing system) ทำหน้าที่ดับเพลิงโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ประกอบด้วยอุปกรณ์ดับเพลิงต่างๆ เช่น ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (Sprinkler system) ระบบดับเพลิงด้วยสารเคมี (Chemical fire extinguishing system) เป็นต้น
- อุปกรณ์ดับเพลิงพกพา (Portable fire extinguisher) เหมาะสำหรับใช้ดับเพลิงเบื้องต้น เช่น ไฟไหม้จากเครื่องใช้ไฟฟ้า ไฟไหม้จากกระดาษ ผ้า เป็นต้น
- อุปกรณ์ดับเพลิงอื่นๆ เช่น ถังน้ำดับเพลิง (Water extinguisher) ถังผงเคมีดับเพลิง (Powder extinguisher) ถังแก๊สดับเพลิง (CO2 extinguisher) เป็นต้น
- ทำประกันอัคคัภัย หรือประกัน IAR เพื่อคุ้มครองความเสียหายหากเกิดเหตุต่างๆ ที่จะช่วยดูแล ทั้งพนักงาน และ ทรัพย์สินต่างๆ
การเลือกซื้ออุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ประเภทของเพลิงไหม้ อุปกรณ์ดับเพลิงแต่ละชนิดเหมาะสำหรับดับเพลิงประเภทต่างๆ เช่น ไฟไหม้จากไฟฟ้า ไฟไหม้จากน้ำมัน ไฟไหม้จากสารเคมี เป็นต้น
- ขนาดของพื้นที่ อุปกรณ์ดับเพลิงควรมีขนาดเหมาะสมกับขนาดของพื้นที่ที่ต้องการดับเพลิง
- จำนวนพนักงาน โรงงานที่มีพนักงานจำนวนมากควรมีอุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้ให้เพียงพอต่อจำนวนพนักงาน
- การดูแลรักษาอุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้
- เลือกการทำทุนประกันอัคคีภัย หรือ ประกัน IAR สำหรับสถานประกอบการ หรือ โรงงาน ต่างๆที่เหมาะสม
อุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้ควรได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ดังนี้
- ตรวจสอบอุปกรณ์เป็นประจำ โดยควรตรวจสอบระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้อย่างน้อยปีละครั้ง และตรวจสอบถังดับเพลิงอย่างน้อยทุก 6 เดือน
- บำรุงรักษาอุปกรณ์ตามคู่มือ โดยควรปฏิบัติตามคู่มือการใช้งานอย่างเคร่งครัด
- ทดสอบอุปกรณ์ โดยควรทดสอบอุปกรณ์ดับเพลิงอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์สามารถใช้งานได้จริง
- ต่อประกันอัคคีภัย หรือประกัน IAR อย่าให้ขาด หรือสามารถทำแบบครั้งละ 3 ปี ก็สามารถลดค่าเบี้ยประกันลงได้ครับ
การเตรียมความพร้อมรับมือกับไฟไหม้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของโรงงานได้ ผู้ประกอบการโรงงานควรให้ความสำคัญกับการติดตั้ง ดูแลรักษาอุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้อย่างสม่ำเสมอ และประกันอัคคีภัย หรือประกัน IAR ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของการป้องกันไฟไหม้ หากเกิดเหตุแล้ว สถานประกอบการหรือโรงงานนั้นๆ ก็จะมีบริษัทประกันเข้ามาช่วยดูแล คุ้มครองส่วนที่เสียหาย ทั้งหมดตามทุนประกันที่ทำไว้ พร้อมดำเนินกิจการต่อเนื่องได้แน่นอนครับ