การดูแลรถยนต์ เบื้องต้น ฉบับมือใหม่
อินชัวร์ฮับจะมาแนะนำ การดูแลรถยนต์ เบื้องต้น ฉบับมือใหม่ หัดดูแลเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุและทำให้พร้อมใช้งาน
การดูแลรถยนต์ เบื้องต้นมีหลายอย่างที่คุณสามารถทำได้ เพื่อให้รถยนต์ของคุณพร้อมใช้งาน มีอายุการใช้งานยาวนาน และ ไม่เกิดปัญหาในการใช้งาน โดยสิ่งที่สำคัญและง่ายๆ อันดับต้นๆของการดูแลรถยนต์ คือ การตรวจสอบ ระดับของเหลว ต่างๆ ภายในรถยนต์ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพื่อให้คุณใช้รถได้อย่างไม่มีปัญหา ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
*น้ำมันเครื่อง เป็นส่วนที่ช่วยหล่อลื่น ลดการเสียดสี ภายในเครื่องยนต์ แถมยังช่วยลดความร้อนให้กับชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ ดังนั้นต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะ ที่ระบุไว้ ตามประเภทของน้ำมันเครื่องเกรดต่างๆ เพื่อให้เครื่องยนต์ใช้งานได้ดีไม่มีสะดุด ถ้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องช้า มากๆ ส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ จะทำให้มีความสกปรกในเครื่องยนต์มาก และถ้าปล่อยไว้จนน้ำมันเครื่องแห้ง จะทำให้เครื่องยนต์มีปัญหา แหวนกับลูกสูบและชิ้นส่วนอื่นๆ จะเสียดสีกัน หรือถ้าแห้งมากๆ ลูกสูบติดเครื่องยนต์เสียแน่นอน ซึ่งน้ำมันเครื่องเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องยนต์ เลยก็ว่าได้ ประเภท น้ำมันเครื่องมี 3 เกรด คือ
1.น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา ใช้งานได้ประมาณ 4,000 – 5,000 กิโลเมตร หรือ เปลี่ยนทุก 6 เดือน ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
2.น้ำมันเครื่องเกรดกึ่งสังเคราะห์ ใช้งานได้ประมาณ 6,000 – 9,000 กิโลเมตร หรือ เปลี่ยนทุก 9 เดือน ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
3.น้ำมันเครื่องเกรดสังเคราะห์ ใช้งานได้ประมาณ 10,000 –15,000 กิโลเมตร หรือ เปลี่ยนทุก 1 ปี ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
น้ำมันเครื่องแต่ละเกรด ให้ประสิทธิภาพ ในระยะเวลาการหล่อลื่นและคุณสมบัติเสริมต่างๆไม่เท่ากัน ควรเลือกให้เหมาะสมต่อการใช้งานและราคา หลังจากนั้นแล้วก็ ต้องตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องในแต่ละเดือน ด้วยให้อยู่ในระดับที่ ต่ำกว่าจุด F (MAX) นิดหน่อย อย่าเติมจนล้นเลยที่กำหนดมากเกินไป แต่ก็อย่าให้น้อยกว่าจุด L(MIN) รถบางรุ่นอาจจะมีแค่จุด หรือรูที่ก้านวัด ก็จะสังเกตง่ายๆ คือ ถ้าดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องขึ้นมา จุดด้านล่างที่ปลายก้านวัดคือ จุด L(MIN) จุดด้านบนที่ใกล้กับ ที่จับมากที่สุดคือ F (MAX)
ส่วนเกรดของน้ำมันเครื่องก็สามารถเลือกใช้ได้ตามตวามต้องการ แต่ต้องสังเกต ว่ารถยนต์ของคุณใช้น้ำมันเครื่อง เบอร์อ่ะไร มีความหนืดเท่าไหร่ เช่น 0W20, 5W30, 10W40 เป็นต้น และเลือกน้ำมันเครื่องที่ดี มีตราฐาน เบอร์น้ำมันเครื่องสามารถศึกษาดูจากคู่มื่อรถยนต์ ได้เลยครับ
*น้ำมันเกียร์ เป็นส่วนที่ช่วยหล่อลื่น ลดการเสียดสี การทำงานภายในระบบเกียร์รถยนต์ ไหลเวียนความร้อนไม่ให้มีจุดใดจุดหนึ่งร้อนเกินไป ป้องกันการสึกหรอ ป้องกันสนิม ทำให้รถยนต์วิ่งได้อย่างไม่มีสะดุด ถ้าน้ำมันเกียร์มีน้อยหรือสกปรกมากๆ จะส่งผลให้ เข้าเกียร์แล้วรถไม่เดิน เข้าเกียร์แล้วสะดุด เข้าเกียร์ได้ยาก เป็นต้น ในปัจจุบัน ก้านวัดน้ำมันเกียร์นั้นอาจจะไม่มีในรถหลายๆรุ่น ดังนั้น ก็สามารถสอบได้ในสมุดคู่มือรถแต่ละรุ่นว่า ต้องเปลี่ยนตามระยะ เท่าไหร่ น้ำมันเกียร์ มี 2 ชนิด คือ
1.น้ำมันเกียร์ธรรมดา ใช้สำหรับรถยนต์ที่เป็นระบบเกียร์ธรรมดา โดยปกติ จะเปลี่ยน ปีละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการใช้งาน มากน้อย หรือลุยน้ำท่วมบ่อย ก็จะทำให้มีความชื้นในระบบ น้ำมันเกียร์
2.น้ำมันเกียร์ออโต้ ใช้สำหรับรถที่มีระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ ส่วนใหญ่แล้วจะแจ้งในคู่มือ เรื่อง ระยะการเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเกียร์ เช่น ทุก 30,000 – 50,000 แล้วแต่รุ่นรถยนต์ แต่แอดมินขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนก่อนที่ระยะเวลากำหนด เช่น เปลี่ยนถ่ายก่อนระยะที่กำหนด 10,000 – 20,000 KM. หรือถ้าขับน้อยๆ ก็ควรเปลี่ยนทุกปี จะดีกว่า เพราะระบบน้ำมันเกียร์ ไม่สามารถถ่ายน้ำมันเกียร์ออกมาได้ทั้งหมด โดยจะมีน้ำมันเกียร์เก่าค้างอยู่ภายใน 50 – 60 % และถ่ายออกมาได้แค่ 40 – 50 % เท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ดูตามความเหมาะสมและความสะดวก สามารถเปลี่ยนตามคู่มือบอกได้เช่นกัน ไม่มีผิด และ ไม่มีถูก ครับ แต่ถ้าปล่อยปละละเลยไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์นานๆจนเกียร์มีปัญหา อันนี้ ผิดแน่นอนครับ
ประเภทก็แยกตามเกียร์ของรถยนต์ ที่คุณใช้งานกันนะครับ ไม่สามารถเติมทดแทนกันได้นะครับ
*น้ำยาในระบบหม้อน้ำ เป็นส่วนที่ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง และยาวนาน บางคนอาจจะใช้น้ำสะอาด หรือ บางคนอาจจะใช้น้ำยาหล่อเย็นสีต่างๆ มาดูข้อแตกต่างกันได้เลยครับ
1.แบบ เติมน้ำสะอาด จริงอยู่สามารถใช้งานได้ถ้าระดับน้ำอยู่ในจุดที่เหมาะสม แต่ ในระยะยาวแล้วนั้น จะทำให้หม้อน้ำเป็นสนิม และ เกิดตะกรัน ในหม้อน้ำ เหมือนที่เกิดในกาต้มน้ำร้อน แต่ ภายในหม้อน้ำนั้น ร้อนกว่าและ ร้อนเป็นระยะเวลายาวนาน กว่า กาน้ำร้อนหลายเท่าตัว ดังนั้นหากใช้น้ำสะอาดเติม ก็ต้องหมั่น ตรวจสอบและเติมน้ำ ให้บ่อยๆ และต้องล้างและเปลี่ยนถ่ายน้ำในระบบหม้อน้ำหากมีสีที่ผิดปกติไปจากเดิม
2. แบบน้ำยาหล่อเย็น มีจุดเดือด และจุดแข็งตัว ที่มากกว่าน้ำสะอาด ดังนั้น จึงสามารถระบายความร้อน ได้ดีกว่าน้ำสะอาด แถมยังมีส่วนผสมของสารป้องกันสนิมต่างๆ สารป้องกันการเกิดตะกอน ตะกรัน ได้ การเติมและตรวจสอบก็เลยจะน้อยกว่าการใช้น้ำสะอาด แต่ก็ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายทั้งระบบเช่นกัน โดยทั่วไป ตามน้ำยาหล่อเย็น ก็จะเปลี่ยนถ่ายทั้งระบบทุก 60,000 – 100,000 KM. ขึ้นอยู่กับที่ระบุไว้ในรายละเอียด ของน้ำยาหล่อเย็นชนิดนั้นๆ
ไม่ว่าจะใช้แบบไหน ก็ต้องตรวจวัดเติมน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในหม้อพักน้ำ ให้อยู่ในระดับ ต่ำกว่า MAX นิดหน่อย เพราะ เวลาเครื่องยนต์ทำงาน ก็จะเกิดการไหลย้อนของน้ำในหม้อน้ำออกมาที่ หม้อพักน้ำ ถ้าเติมเลย ในเวลาที่น้ำไหลย้อนออกมาก็จะทำให้น้ำล้นออกหม้อพักน้ำ ไปเลอะส่วนต่างๆในห้องเครื่องได้ และก็อย่าปล่อยให้น้ำลดจนน้อยกว่า MIN จะทำให้น้ำในระบบหม้อน้ำขาดแล้ว ความร้อนขึ้นสูง เครื่องยนต์มีปัญหาแน่นอนครับ
*น้ำมันเบรก เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบเบรก ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเป็นตัวหล่อลื่นและรับความร้อนจากการเบรก จึงเป็นส่วนสำคัญต่อความปลอดภัยสำหรับ ตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทาง การเลือกน้ำมันเบรกต้องเลือกชนิดที่ทนความร้อนได้สูงๆ ให้เหมาะสมต่อการใช้งาน โดย จะแบ่งตามจุดเดือด และ ความชื้น ซึ่งจะมี เป็น DOT 3 DOT 4 และ DOT 5 โดยสามารถตรวจดูได้ที่ กระปุกน้ำมันเบรก ในห้องเครื่อง ว่าใช่แบบไหน และก็จะมีระดับบอก ควรให้อยู่ระดับที่ต่ำกว่า MAX นิดหน่อย เพราะน้ำมันเบรกถ้าหกแล้วนั้นจะสามารถกัดสีรถของคุณได้ การเติมหรือ เปิดฝาก็ควรต้องระมัดระวัง และต้องดูสีของน้ำมันเบรก ว่าสีมีการเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนหรือมีสิ่งแปลกปลอมหรือไม่ หากรถวิ่งน้อย ก็ควรเปลี่ยนปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้ารถวิ่งทั่วไปก็ควรเปลี่ยน ทุกๆ 40,000 KM. แต่ก็สามารถให้ศูนย์บริการ ด้านช่วงล่าง ตรวจสอบระดับความชื้นในน้ำมันเบรกได้อีกครั้งนึงก่อนว่าสมควรเปลี่ยน หรือไม่
*น้ำมันพาวเวอร์ หรือ น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้เวลาหมุน บังคับพวงมาลัยไป สู่การบังคับล้อ ให้ไปในทิศทางที่ต้องการ โดยจะพบการใช้น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ในรถยนต์ที่มีพวงมาลัยเพาเวอร์ เท่านั้น การเปลี่ยนถ่ายก็สามารถดูได้จากคู่มือรถยนต์ และเปลี่ยนถ่ายที่ศูนย์บริการชั้นนำทั่วไป
*น้ำฉีดกระจก อันนี้เหมือนจะไม่สำคัญมากแต่ถึงเวลาที่ต้องใช้ จะสำคัญมากขึ้นมาทันที เพราะถ้ากระจกหน้าไม่สะอาดมีผลต่อการมองเห็นทัศนวิสัย ที่ดี ดังนั้นควรตรวจสอบให้ พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา
*น้ำกลั่นในแบตเตอรี่ เป็นส่วนหนึ่งทำให้ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ ใช้งานได้ดี สำหรับแบตเตอรี่ น้ำก็ต้องตรวจสอบระดับน้ำให้เหมาะสมจะสามารถยืดอายุการใช้งาน แบตเตอรี่ ได้ ถ้าหากน้ำแห้งแล้วจะทำให้แผงในตัวแบตเตอรี่ผุจากการโดนกรดที่เข้มข้นเกินไปกัดกร่อน แบตเตอรี่ก็จะเสื่อมและเก็บไฟได้น้อยลง สุดท้ายก็จะไม่สามารถสตาร์ทรถยนต์ติดได้ ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ หรือต้องหารถยนต์อีกคันมาจัมพ์แบตเตอรี่ในขณะที่ใช้งาน ส่วนแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง ตรวจสอบเพียงปีละ 1-2 ครั้งก็ได้ ครับ
ข้อแนะนำอีกอย่างนึงถ้าท่านไดที่ได้ซื้อรถมือ 2 หรือได้รับรถที่ใช้แล้ว และไม่สามารถดูประวัติการเข้าศูนย์บริการ หรือ ไม่มั่นใจก็สามารถเปลี่ยนของเหลวในที่มีรถยนต์ คันนั้นๆ ใหม่ทั้งหมดเลย แล้วเริ่ม นับระยะทางและการดูแล ใหม่ต่อจากนี้ได้เลยครับ
การดูแลรถยนต์นั้นสำคัญ และ การทำประกันรถยนต์สำหรับมือใหม่ก็สำคัญไม่แพ้กัน ประกันรถยนต์ สามารถช่วยดูแลคุณในเหตุที่ไม่คาดคิดได้ สำหรับมือใหม่อินชัวร์ฮับขอแนะนำประกัน ชั้น 1 และ ประกัน ชั้น 2 +
ประกันรถยนต์ ชั้น 1
มีคุ้มครองรถยนต์ของคุณมากที่สุด รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณและคู่กรณี รวมไปถึง รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม (รับผิดชอบรถยนต์ของคุณทุกกรณี รวมไปถึงการเกิดเหตุกับ สิ่งของต่างๆเช่น ชนรั้วบ้าน เสาโรงจอดรถ เป็นต้น) (สนใจซื้อประกันชั้น 1 คลิก)
ประกันรถยนต์ ชั้น 2+
รับผิดชอบคล้ายๆประกันรถยนต์ ชั้น 1 แต่จะรับผิดชอบรถยนต์ของคุณ กรณีชนกับยานพาหนะทางบก ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกและฝ่ายผิด (รถ ชน รถ เท่านั้น ไม่รับผิดชอบกรณีชนกับสิ่งของ เช่นรั้วบ้าน เสาโรงจอดรถ ) (สนใจซื้อประกันชั้น 2+ คลิก)

ดังนั้นก็ควรมี การดูแลรถยนต์ ควบคู่กันไปกับการมองหาประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานรถยนต์ ของคุณ มาปรึกษา เรา อินชัวร์ฮับ ได้เลยนะครับ เราคัดเลือกแผนประกันรถยนต์ให้เหมาะสมกับรถยนต์คู่ใจของคุณ เรามีทีมแอดมิน ที่คอยช่วยเหลือ คอยให้คำปรึกษาทั้งก่อนทำประกัน และ หลังจากที่ทำประกัน ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ประกัน “ดีชัวร์” มีที่ อินชัวร์ฮับโบรกเกอร์